เมื่อปีที่แล้วผมค้นพบว่าตัวเองไม่ใช่ยอดมนุษย์ เพราะโดนฉก ipad ไปจากมือ โดยโจรสองคนขี่มอไซย้อนเลนมา
เล่าเหตุการณ์ (ที่จำได้เพราะแจ้งความไว้): เวลา 11.00pm ออกมายืนเรียก taxi อยู่หน้าปากซอย ด้วยความเลินเล่อ เลยเล่น ipad ไปด้วย และมีมอไซขับสวนเลนมา โดยที่เราไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกที มีมือคนมายื้อ ipad ขณะที่เราพิมพ์อยู่ ตอนนั้นนึกว่าเป็นเพื่อนมาแกล้ง แต่พอหันไปดู อ้าว! ใครไม่รู้ คนนึงขี่ คนนึงซ้อนและด้วยความที่เราพิมพ์อยู่จึงไม่ได้ตั้งตัว เลยโดนคว้าไป ตอนนั้นอึ้งไปประมาณ 1 วินาที แล้วรู้สึกตัว ในหัว “เดี๋ยวมึงเจอกู” แล้ววิ่งตามเลย! ตอนนั้นวิ่งไล่จนเหลือระยะประมาณ 1 เมตร จะเอื้อมถึงตัวโขมยแต่สภาพถนน ตรงนั้นเป็นสี่แยก และพอมันเลี้ยงพ้นแยกไปได้ ก็เร่งเครื่อง ทำให้เราวิ่งตามไม่ทัน
เลยทำให้เราคิดว่า ถ้าเรา “สมรรถภาพร่างกายดีกว่านี้” อาจจะไล่ทัน
แต่คำว่าสมรรถภาพร่างกาย มีนิยามว่าอะไรบ้าง บทความนี้เราจะมาพูดถึงกันครับ
ความสามารถของร่างกายในการประกอบการงาน หรือ กิจกรรมทางกายที่ส่งผลในทางการกีฬา สมรรถภาพทางกายเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาการทางด้านร่างกาย ของมนุษย์ สมรรถภาพทางกายของบุคคลทั่วไปจะเกิดขึ้นได้จากการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าหยุดออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงเมื่อใด สมรรถภาพทางกายจะลดลงทันที
บทความนี้ สำหรับคนที่คิดว่าอยากมีสมรรถภาพร่างกายยอดเยี่ยม หลักๆที่หลายๆคนอยากจะได้ก็น่าจะมีสมรรถภาพเหล่านี้
วันนี้เราจะมาพูดถึงการฝึกฝนแบบ sports performance กัน ว่าในทางวิทยาศาสตร์การกีฬานั้น มีอะไรบ้าง
และอยากจะให้เข้าใจไว้เสมอว่า คนเรามีเวลาเท่ากัน แต่เรามีสิ่งต่างๆที่ต้องพัฒนาต่างกัน ดังนั้น บทความนี้จะช่วยแนะแนวให้ครับ ว่าเวลาเรา LEVEL UP แล้วจะ Upgrade อะไรดี
Speed กับ Agility นั้นต่างกัน ถ้าให้เปรียบเทียบแบบเห็นภาพชัดเจนขึ้น
Speed: นักวิ่ง 100 เมตร สามารถวิ่งได้เร็วมากๆ ใช้เวลา 9-10 วินาที ต่อ 100 เมตร แต่วิ่งเป็นทางตรง
Agility: นักฟุตบอล วิ่ง 100 เมตรได้ 11 วินาที แต่สามารถวิ่ง zig zag ผ่านกรวยและสิ่งกีดขวางได้เร็วกว่า
คำว่า Speed แปลว่าความเร็วในการวิ่ง ออกตัว ซึ่งในเชิงกีฬานั้น Speed มีตัวแปลหลายอย่าง เช่น ความเร็วในการตอบสนองของประสาท (ตอบสนองช้าก็ทำเวลาได้ไม่ดี) ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (แรงน้อย ก็วิ่งได้ไม่เร็ว)
Agility แปลได้ว่าความคล่องตัว และความเร็วในการตอบสนอง เปลี่ยนทิศทาง ซึ่งต่างจาก Speed ตรงที่นอกจากจะต้องเคลื่อนที่เร็วแล้ว ยังต้องตอบสนอง และเปลี่ยนทิศทางได้เร็วด้วย
ตัวอย่างง่ายๆ
การฝึก Speed
Speed นั้นอาสัยความต่อเนื่องในการทำงานของระบบ Anaerobic ให้แปลเป็นภาษาคนก็คือการทำยังไงให้ร่างกายเราทำงานหนักมากๆ ได้นานขึ้น (วิ่งเร็วได้ speed ไม่ตก) ซึ่งคำตอบก็คือการฝึกให้ร่างกายชินกับการใช้ระบบที่ไม่พึง Oxygen ได้นานขึ้นนั่นเอง เดี๋ยวไว้มาลงลึกกันอีกบทความหนึ่ง
ตัวอย่างก็มีตั้งแต่การฝึก
การฝึก agility
การพัฒนาความสามารถของสมรรถภาพทางกายของนักกีฬาในด้านความคล่องแคล่วว่องไว หรือ Agility Trainning จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็ว และมีการตอบสนองต่อระบบประสาทสั่งการได้ดีอีกด้วย ซึ่งการฝึกนั้นจะต้องมีความควบคู่กัน เนื่องจากจะมีการส่งผลต่อสมรรถภาพของร่างกายในการเคลื่อไหวและปฏิกิริยาตอบสนองต่อกีฬาที่เล่นอย่างรวดเร็ว อทิช่น การกระโดดปัดลูกฟุตบอล การที่เราสามารถรบการต่อยของคู่ต่อสู้ได้การคล่องตัวจึงเป็นพื้นฐานของสมรรถภาพทางกาย และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเล่นกีฬาหลายชนิด
Speed + Agility ในชีวิตจริง มีประโยชน์อย่างไร
Speed:
Agility:
หลายๆคนอาจจะเข้าใจ Power และ Strength ต่างกัน ดังนั้นเราขอทับศัพท์ เนื่องจากการแปลศัพท์ทางการเป็นภาษาไทยแล้วเราจะงง!
Power คือการออกแรงระยะสั้น ซึ่งตัวแปลหลักๆก็คือ Speed X Strength หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการออกแรงให้มากที่สุด ในระยะเวลาน้อยที่สุด
ตัวอย่างของ Power ในชีวิตจริง
ก็มีตั้งแต่การปล่อยหมัด ยิ่งเราออกแรงเยอะและมีความเร็วมาก ก็ยิ่งทำให้มี Power มาก ช่วยเพิ่มแรงปะทะได้ หรือการยกน้ำหนักแบบ Olympic Lifting ที่ต้องยกน้ำหนักมากๆ ในท่าเช่น Clean and Jerk ซึ่งต้องออกแรงรวดเดียว หรือการกระโดดสูง หรือยิงบอลได้แรงๆ
Power ในชีวิตจริงก็… เอาง่ายๆ เวลาเราจาม เคยสังเกตุมั้ยว่าตัวเราจะพับเร็วมาก เพราะกล้ามเนื้อหลายส่วนเกร็งพร้อมๆกันในเวลาอันสั้น นั่นหละ Power
การฝึก Power ก็มีตั้งแต่
strength คือ ความสามารถในการออกแรง ต้านทานที่สามารถกระทำได้ระหว่างการใช้แรงในขณะมีการเคลื่อนที่อย่างเต็มแรงของข้อต่อ ซึ่งเอาเข้าใจง่ายๆเลย คือ การใช้แรง แบบเต็มเนี่ยวได้แบบไม่เหนื่อย และทรงพลังมากในการทำกิจกรรมนั้นๆ โดยความแข็งแรงจะส่งผลต่อตัวรูปร่างของคนๆนั้นด้วย
Strength คือการออกแรงด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อ เพื่อต้านแรง หรือยกสิ่งของ ซึ่งถ้าจะเปรียบกันระหว่าง power กับ Strength ให้เห็น
ขา:
หลัง:
อก:
ถ้าเรามองโดยรวมๆ จะเห็นว่าการฝึกแบบ Power นั้น ต้องควบคู่กับการฝึกทักษะไปด้วย นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมนักกีฬาที่เน้น power รูปร่างจะแตกต่างจากนักเพาะกาย หรือนายแบบครับ
วิธีการฝึกเพื่อพัฒนา strength นั้นมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบต่างก็ยึดเอาแรงต้านทาน เป็นสำคัญสำหรับพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หรือยึดหลัก “Overload Principle” โดยให้ร่างกายฝึกเลยขีดความสามารถปกติ (Normal Capacity) เล็กน้อย ซึ่งการออกกำลังกายที่เกินขีดจำกัดจะทำให้ร่างกายเกิดการสับสน ในระยะ 2 – 3 วันแรก หลังจากนั้น ร่างกายจะมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ จะทำให้ร่างกายทำงานในขีดความสามารถธรรมดาใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ร่างกายมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ขีดความสามารถก็สูงขึ้นด้วย
คุ้นๆมั้ย… การเล่นเวท (แบบถูกวิธี) ก็คือการ strenght training นั่นเอง!
การฝึก strength มีนิยมมากในปัจจุบันของนักกีฬาคือ Isometric Exercise และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือการฝึกแบบ Calisthenics หรือการฝึกโดยใช้แค่น้ำหนักตัว (body weight) ในการออกกำลัง นี่ก็ strength training นะ
ที่อยากฝากไว้คือ ไม่ว่าจะเล่น POWER หรือ STRENGTH หรือ SPEED ร่างกายจะ Lean หรือไม่ขึ้นอยู่กับโภชนาการครับ การฝึกมีผลแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
Balance: ความสามารถในการทรงตัว
Pheripheral vision: ความสามารถในการมองเห็นจากด้านข้าง (มองด้วยหางตา เพิ่มความกว้างของการรับรู้)
Reaction time: ความเร็วในการตอบสนอง
Hand eye coordination: ความสัมพันธ์ของมือ และสายตา (ความแม่นยำ)
Flexibility: ความยืดหยุ่น ช่วยทำให้เราออกแรงได้มากในท่าทางที่หลากหลาย
Peripheral Vision + Hand Eye Coordination ทำงานยังไง!? ง่ายๆเลย คือสายตาเราสามารถส่งสัญญาณไปที่สมอง ให้คำนวนวิถีของลูกบอลได้ ว่ามันจะไปตกที่ไหน จากนั้นสมองสั่งร่างกายให้กระโดดไปรับ ทั้งๆที่บอลหลุดจากสายตาไปแล้ว ผลก็คือ
ฟุตบอล +power ยิงได้แรงขึ้น +strength ปะทะกันแล้วได้เปรียบในเชิงบอล
บาส + strengthมีแรงในการชู๊ตเพิ่มขึ้น +agility มีการวิ่งเคลื่อนไหวหลากหลายทิศทางเร็วขึ้น +power กระโดดสูงขึ้น ดั้งได้
กอล์ฟ +strength&power วงสวิงดีขึ้น ลดการเกิดอาการ golfer elbow ได้
แบต +agilityมีการเคลื่อนไหวหลายทิศทางได้อย่างรวดเร็ว +มีแรงระเบิดpowerตบลูกได้แรงขึ้น
เทนนิส +agilityมีการเคลื่อนไหวหลายทิศทางได้อย่างรวดเร็ว ตบแรงขึ้น ลดอาการเป็น tennis elbow
มวย / กีฬาต่อสู้ +agility & strength เป็นการออกหมัดและการเคลื่อไหวที่มีความรวดเร็ว
วอลเล่ย์บอล +agilityมีการเคลื่อนไหวหลายทิศทางได้อย่างรวดเร็ว ตบแรงขึ้น
รักบี้ / อเมริกันฟุตบอล +agility มีการวิ่งในหลากหลายทิศทางเร็วขึ้น +power ในการออกตัววิ่ง
ว่ายน้ำ +strength&power เพื่อพัฒนาการหมุนหัวไหล่ในการว่ายน้ำได้ดีขึ้น
อุปกรณ์ที่เราควรมีเพื่อฝึกซ้อม
Ladder Drill การพัฒนา agility balance การใช้สปีดของการย่ำขา
Hurdle การพัฒนาแรงระเปิดในการกระโดดข้ามอย่างรวดเร็ว
Freeweight การพัฒนาความแข็งแรงและ power ในการจำเพาะกีฬานั้น
Plyometric Box การพัฒนาแรงกระโดด ของนักกีฬาเพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
ตัวอย่าง Drill สำหรับ Speed: Shuttle Run
เป็นการฝึกวิ่งแบบเป็นระบบ โดยให้วิ่งจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง และเพิ่มระยะทางขึ้นเรื่อยๆ (ดูในภาพ)
ตัวอย่าง Drill สำหรับ Agility: Ladder Drill
วางสิ่งกีดขวางไว้บนพื้น และวิ่งเน้นซอยเท้าถี่ๆ โดยมี Pattern ในการลงเท้าได้หลากหลายแบบ เช่นวิ่งตรง หรือวิ่งด้านข้าง สลับกับวิ่งตรงๆ โดยห้ามแตะสิ่งกีดขวาง จะทำให้เรามีความว่องไว และแม่นยำในการก้าวเท้ามากขึ้น
ตัวอย่าง Workout สำหรับ Power: Hurdle Jumps
วางสิ่งกีดขวางไว้และกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง โดยเน้นว่าเราจะใช้เวลาบนพื้นให้น้อยที่สุด (landing ปุป กระโดดปับ และใช้ทั้ง momentum ของแขนช่วยในการกระโดด
ตัวอย่าง Workout สำหรับ Strength: Squat + Deadlift!
การฝึก Squat หรือ Deadlift สำหรับ Strength นั้นต่างกับการฝึกแบบเล่นกล้ามตรงที่จำนวนครั้งในการยก จะอยู่ที่ประมาณ 4-6 Reps หรือน้อยกว่านั้น และจะพักประมาณ 3-5 นาที ต่อ Set เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวเต็มที่ และยกได้หนักมากๆ ใน Set ต่อๆไป
ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีสมรรถภาพอะไรบ้างที่เราต้องฝึก ทีนี้เรามาดูกันครับว่าสำหรับมือใหม่ ต้องเริ่มอะไรบ้าง
Level 1 มือใหม่สุดๆ: ไม่เคยเล่นกีฬามาก่อนเลย ร่างกายจะยังไม่แข็งแรง เสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ แนะนำให้เริ่มจากการฝึกการเคลื่อนไหวพื้นฐานก่อน และเริ่มยกเวทจากเบาๆ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ซ้อมกีฬาที่ชอบตามปกติ เน้นพื้นฐาน เพราะจำไว้ ว่าพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะการฝึกพื้นฐานทำให้เรามี Muscle Memory คือร่างกายเราจะจำได้ว่าเราฝึกอะไรมา จะสามารถดึงออกมาใช้ได้ดีขึ้นครับ
Level 2 เล่นกีฬามาก่อน: เน้นที่การพัฒนาจุดที่ตัวเองด้อย เช่นถ้าวิ่งไม่เร็ว แต่ทักษะดีแล้ว ก็ต้องเน้นที่การฝึก Speed ตรงนี้การจัดตารางซ้อมสำคัญมาก เพราะถ้าเราซ้อมไม่ตรงจุดไปเรื่อยๆ เราก็จะไม่เก่งขึ้นซักที ทั้งๆที่ใช้เวลาซ้อมนาน ดังนั้น การแบ่งเวลามาฝึกสมรรถภาพเน้นๆ จะสำคัญมากครับ
Level 3 นักกีฬา!: นักกีฬาที่เก่งแล้ว ควรจะเน้นจุดที่เป็นจุดด้อยของตัวเอง แต่จะต่างจาก Level 2 ตรงที่ช่องว่างในการพัฒนาเราในบางจุดจะเล็กมาก เพราะเรามีประสปการณ์ ดังนั้น เรื่องการจัดตาราง Periodization หรือการวางแผนตารางเล่นในแต่ละช่วงของปี หรือแต่ละฤดูการ จะสำคัญกว่าการจัดวันซ้อมแบบของ Level 2
ตัวอย่างการจัด Periodization ก็เช่น ช่วงไม่ได้แข่ง เราจะซ้อมแบบหนึ่ง และช่วงไกล้แข่ง เราจะซ้อมอีกแบบหนึ่ง (ส่วนใหญ่จะเพิ่ม Intensity และ ลด Volume) ซึ่งทุกรายละเอียด ตั้งแต่จำนวนรอบที่วิ่ง จำนวนครั้งที่ยก ระยะเวลาที่พัก โค้ชจะคำนวน และกำหนดมาให้หมด
FACEBOOK : GUNNERTALK
EMAIL : TG.Thaigunners@gmail.com
TEL : +6696-293-9839