ASTVผู้จัดการรายวัน – วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2558 จะมีการประชุมใหญ่คณะกรรมการบริหารสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย ประจำปี 2557 ณ การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งว่าระสำคัญหนีไม่พ้นการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ ภายหลังครบวาระ 2 ปีของคณะกรรมการชุดก่อนที่มี นายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา เป็นผู้นำ
       
        อย่างไรก็ตาม การประกาศอย่างไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งของนายพิพัฒน์ ที่มีปัญหาหลายประการ ทั้งเรื่องต้องการกลับไปดูแลธุรกิจของครอบครัว รวมถึงปัญหาสุขภาพ ทำให้เหลือแคนดิเดตเพียงสองรายเท่านั้นที่เปิดตัวลงรับสมัครเลือกตั้ง คือ ดร.ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ท.เฉลิมเกียรติ โพธิ์ทองนาค อุปนายกสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย
       
        ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างชูนโยบายสำหรับหาเสียงสนับสนุนจากสโมสรสมาชิก เริ่มที่ พล.ท.เฉลิมเกียรติ มีการตั้งเป้าหมายที่แน่วแน่ว่าภายใน 4 ปี พร้อมนำทีมชาติไทย เป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียนให้ได้ โดยจะใช้ยุทธศาสตร์ “3 สร้าง 3 สนับสนุน” ซึ่งในประเด็น 3 สร้าง ได้แก่ การสร้างความเป็นหนึ่งในการบริหารทั้งความสามัคคีและการมีส่วนร่วมของสโมสรสมาชิก, สร้างกระแสนิยมในทุกด้าน เน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสารมวลชน และสร้างความเชื่อมั่นในหมู่สมาชิก ด้วยความยุติธรรมและเป็นกลาง ส่วน 3 หนุน คือ สนับสนุนองค์กรภาครัฐและเอกชนทุกรูปแบบ อาทิ ในส่วนของการจัดการแข่งขันต่างๆ, สนับสนุนการจัดกิจกรรมในส่วนภูมิภาคให้เพิ่มมากขึ้น และสุดท้าย สนับสนุนกีฬาอาชีพให้ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด
       
        อีกทั้งอดีตเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ยังแย้มแผนเด็ดในการเตรียมทำสัญญากับ “บิ๊กเปี๊ยก” องอาจ ก่อสินค้า ประธาน บริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก ที่ดูในเรื่องของฟุตบอลไทย เพื่อพัฒนาไทยแลนด์ บาสเกตบอลลีก ให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยเผยว่า “ตอนนี้ผมคิดว่าทีมบาสไทย มีความสามารถไม่ได้ต่างไปกว่า ฟิลิปปินส์ เท่าไรนัก ซึ่งข้อด้อยที่สำคัญที่สุดคือ หลักจิตวิทยา นักกีฬาของเรามักคิดว่า เมื่อเจอกันเราจะสู้ไม่ได้ แต่ผมไล่ดูความสามารถแล้วเราสู้ได้ เรื่องสำคัญอย่างที่สองที่ผมจะแก้คือ ลีกบาสอาชีพ ผมจะทำสัญญาร่วมมือกับทาง ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก เพื่อศึกษาแนวทาง และดึงให้มีคนสนใจบาสอาชีพให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราจะทำใน 4 ปีนี้”
       
        หากมองด้วยสายตาคนในแวดวงยัดห่วงไทยต้องยอมรับว่าศึกครั้งนี้ พล.ท.เฉลิมเกียรติ ค่อนข้างได้เปรียบพอสมควร เนื่องจากมีประสบการณ์ในวงการนี้ยาวนานกว่า 40 ปี พร้อมกับดำรงตำแหน่ง อุปนายกสมาคมปัจจุบัน และยังเป็นประธานดูแลลีกบาสของไทยอีกด้วย ขณะที่ ดร.ภักดีหาญส์ อดีตดารานักแสดงชื่อดัง แม้จะเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าความเก๋ายังไม่เท่าคู่แข่ง ทว่าพร้อมรบด้วยนโยบายปฏิรูปที่ทำได้จริง
       
        โดยอดีตนักแสดงวัย 42 ปี หวังที่จะวางรากฐานให้เยาวชนในต่างจังหวัด มีความรู้ และหันมาสนใจกีฬาบาสเกตบอลมากขึ้น เพื่อสร้างนักกีฬารุ่นใหม่ขึ้นมา รวมถึงจะเพิ่มจำนวนผู้ฝึกสอน และผู้ตัดสินให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น นอกจากนี้ยังวางแผนตั้งสภากรรมการบาสเกตบอล เพื่อเป้าหมายที่จะทำให้วงการยัดห่วงไทยกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งและเป็นผู้นำบาสเกตบอลในระดับเอเชีย
       
        สำหรับไม้เด็ดของ ดร.ภักดีหาญส์ อยู่ที่การวางแผนตั้งกองทุนในกับนักกีฬาบาสเกตบอลอาวุโสให้มีสวัสดิการเทียบเท่ากีฬาอื่นๆ เพื่อโน้มน้าวใจสโมสรสมาชิก “ผมอยากจะทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญกับวงการบาสเกตบอลให้มากกว่านี้ สิ่งที่จะทำอย่างแรกเลยคือการหาสวัสดิการให้กับนักกีฬาที่เลิกเล่นไปแล้ว ให้มีกองทุนสนับสนุน ไม่มีใครอยากจะเล่นบาสเกตบอล หากไม่รู้อนาคต อีกประการตอนนี้ในเรื่องผู้ตัดสินในเมืองไทย ผู้ตัดสินที่มีความรู้ ความสามารถ และได้รับการยอมรับมีน้อยมากทำให้วงการไม่พัฒนา ยอมรับว่าผมอาจจะมีประสบการณ์ไม่เท่าอีกฝ่ายที่ลงเลือกตั้ง แต่หากเขาอยู่มานานจริงก็ต้องเห็นปัญหาที่ผ่านมา แต่ทำไมไม่ยอมแก้”
       
        ทั้งนี้ การตัดสินใจของ 93 สโมสรสมาชิกในวันเลือกตั้งมีการวิเคราะห์กันว่าอยู่ตัวแปรสำคัญคือ หัวคะแนนใหญ่ของแต่ละฝ่าย ฟากอุปนายกสมาคมได้ “เฮียต่าย” นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร ประธานสโมสรไฮเทคขาใหญ่วงการยัดห่วงที่เคยส่ง “เสี่ยจอห์นนี” สุรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา และ พิพัฒน์ ลาภปรารถนา ถึงฝั่งฝันเป็นนายกฯ มาแล้ว ส่วนทางด้าน ดร.ภักดีหาญส์ มี ดร.เนตรทราย วงศ์อุปราช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชู๊ตอิท จำกัด ซึ่งมีประสบการในวงการบาสมากว่า 20 ปี เป็นกุนซือ คงต้องรอดูว่ากำลังภายในของฝ่ายใดจะขับเคลื่อนผู้สมัครในฝ่ายตัวเองถึงเก้าอี้นายกสมาคมได้ในท้ายที่สุด